"คนใดที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า คนนั้นแหล่ะเป็นพี่น้องชายหญิง และมารดาของเรา" (มก.3:35)
การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ มันเป็นเรื่องง่ายๆหากเราพึ่งพาพระเจ้าในทุกกรณี วางใจในพระองค์อย่างสุดใจ ยอมรับรู้พระองค์ในทุกๆทางไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นเราจะตอบสนองด้วยการขอบพระคุณเสมอ เราจะไม่คิดว่า...เราเก่ง หรือมีปัญญาเหนือกว่า แต่เราจะยำเกรงพระเจ้าให้มากขึ้น (สภษ.3:5-7) ฟังถ้อยคำพระเจ้าอย่างใคร่ครวญไม่ใช่ฟังอย่างผ่านๆ แล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงๆจังๆ อย่าลืม...สิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้ แต่พระวิญญาณฯทรงทำให้สำเร็จได้ทุกๆสิ่ง (มก.10:27)
และการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามันจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ หากเราพึ่งกำลังของตนเองล้วนๆ อย่าเชื่อคำหลอกลวงของซาตานที่บอกว่า... 'เป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ได้' อย่าลืมการตัดสินใจที่เป็นคริสเตียนคือการตัดสินใจมายืนข้างพระเจ้า และเราถูกเรียกออกมาจากสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มาสู่ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า (โยบ 42:2) เมื่อเราเชื่อเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ยน.11:40) ตามพระคำที่ว่า "ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยแรง แต่แข็งแกร่งโดยพระวิญญาณฯ" (ศคย.4:6)
แน่นอน...คุณค่าชีวิตเราไม่ใช่อยู่ที่เราเป็นใครเท่านั้น แต่อยู่ที่เรามีใครในชีวิตของเราด้วย (2คร.4:7) แน่นอน...เราขอบพระคุณพระเจ้า ผ่านความเชื่อ ณ เวลานี้เรามีสิ่งล้ำค่าที่สุดอยู่ภายในชีวิตของเรานั้นคือ พระวิญญาณฯของพระเจ้า (2คร.4:7) และเราเป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณฯด้วย (1คร.6:19-20) ฉะนั้นโดยแรงเรา 1 เดียวบางทีอะไรๆก็อาจจะยาก เช่น การจะให้อภัยใครสักคน หรือการจะทำอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเรามีแรงเสริมที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีความจำกัดอยู่ภายในเรา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้แน่นอน เพียงแค่เราเชื่อและถ่อมใจเท่านั้น เพราะขนาดของฤทธานุภาพของพระเจ้าที่เทมายังชีวิตของเรานั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของความถ่อมใจของเราในพระเจ้าด้วย เพราะที่ไหนมีความอ่อนแอ ฤทธิ์ของพระเจ้าก็มีเดชเต็มขนาดที่นั่น (2คร.12:9)
แต่...การงานของเนื้อหนังก็ชอบคอยขัดขวาง และต่อสู้กับพระวิญญาณฯในชีวิตของเราจริงๆ (กท.5:17) ในแต่ละวันมีสงครามเกิดขึ้นตลอดเวลา ระหว่างการจะทำดี หรือการจะทำไม่ดี เหมือนเช่น อ.เปาโล กล่าวว่า "เมื่อไรที่พร้อมจะทำดี ความชั่วก็พร้อมจะผุดขึ้นเสมอเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ปรารถนาทำจึงทำไม่ได้" (รม.7:21) อย่าลืม สมรภูมิสนามรบฝ่ายวิญญาณก็อยู่ที่สมองและความคิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนัง [ความบาป] หรือพระวิญญาณฯต่างต่อสู้และแย่งชิงกันเพื่อจะได้พื้นที่ในความคิดของเรา!
ลองอ่านทบทวนใน กาลาเทีย บทที่ 5 ข้อ 19-21 จึงพบถึงความแตกต่างระหว่างการงานของเนื้อหนัง และของพระวิญญาณฯ จึงสรุปได้คือ การงานของเนื้อหนัง คือ การทำเพื่อตัวเอง อยากชนะ ต้องเป็นที่หนึ่ง เห็นแก่ตัว และถอยห่างออกจากการวางใจในพระเจ้า แต่การงานของพระวิญญาณฯ คือ การยอมจำนน และพร้อมจะเป็นคนทุกประเภทเพื่อเห็นแก่พระเจ้า (1คร.9:22) ดำเนินชีวิตในความรัก พร้อมจะเสียหน้าเพื่อจะให้พระคริสต์ทรงได้หน้า ไม่ยึดถือเกียรติตนเอง พร้อมให้อภัยเสมอ วางใจพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ทำร้ายใครทางวาจา หรือการกระทำ (1ทธ.3:1-13)
อย่าลืม...ลูกที่ดีของพระเจ้าไม่ใช่การเป็นคนเคร่งศาสนา เพราะแบบนั้นที่ไหนๆก็มีกัน แต่พระเจ้าปรารถนาให้ลูกที่ดีของพระเจ้าเป็นคนที่เกิดผลของพระวิญญาณฯ (กท.5:22-23) เพราะการจะเป็นคนล้ำค่าในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่ใช่ที่หน้าที่การงานของเรา หรือการรับใช้ของเรา หรือตำแหน่งของเราในคริสตจักร หรือการที่เราเก่งกว่าใครๆ แต่บุคคลที่ล้ำค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า คือ คนที่เต็มใจยอมเชื่อฟังพระเจ้าในทุกๆกรณี ต่างหากละ(อพย.19:5, มลค.2:15)
พระเจ้าตรัสว่า
"ฉะนั้น ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงเราจริงๆ และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ พวกเจ้าจะเป็นของล้ำค่าของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา..." (อพย.19:5-6)
แม้เราอาจจะไม่สมประกอบ พิการ หรือทำอะไรๆไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ เทศนาก็ไม่เป็น นำนมัสการก็ไม่ได้ พูดภาษาแปลกๆไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ ร้องเพลงไม่เป็น อธิษฐานก็ถูกๆผิดๆ อ่านหนังสือก็ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ... แต่นั้นไม่สำคัญเลย หากเราเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความเต็มใจเราก็จะกลายเป็นคนที่ล้ำค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ จงแสวงหาโอกาส และชีวิตที่จะถ่อมใจเชื่อฟังก่อนจะแสวงหาของประทานหรืองานรับใช้ เพราะแม้จะมีของประทานวิเศษขนาดไหน หรือรับใช้ตำแหน่งสูงเพียงไร หากขาดชีวิตแห่งการเชื่อฟังก็ไม่มีความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้าเลย
"พระยาห์เวห์พอพระทัยในเครื่องบูุชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์หรือ? ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะเอาใจใส่ก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้" (1ซมอ.15:22)
เมื่อพระเจ้าสั่งเราทำอย่างไร ก็จงเชื่อฟังและทำอย่างนั้น หากเราบอกว่าเรารักพระเจ้า เราก็ย่อมยอมจำนนทำเพื่อพระองค์ได้ทุกสิ่ง แท้ที่จริงแล้วเราสามารถทำอะไรๆก็ได้ตามที่ใจเรารักพระเจ้าเท่านั้น หากเรารักมากก็ไม่มีอะไรเลยที่จะทำเพื่อพระองค์ไม่ได้ เมื่อเราแสวงหาชีวิตที่เชื่อฟัง พระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของของประทานทั้งสิ้นก็จะทรงเพิ่มพูนของประทานในการรับใช้แก่เราเอง อย่าลืม...การทำงานเป็นของเรา แต่การเกิดผลทั้งสิ้นเป็นของพระเจ้า (1คร.3:5-7)
ฉะนั้น ก่อนการเกิดผลจะมา ชีวิตเราพร้อมจะยอมเชื่อฟังพระเจ้าทุกประการแล้วหรือยัง? อย่าร้องขอการเกิดผล หากใจของเรายังไม่พร้อมยอมเชื่อฟัง และยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง อยากเกิดผลมากก็จงยอมเชื่อฟังให้มากและเราจะรู้ว่า โดยพระวิญญาณฯที่อยู่ในเรานั้น จะช่วยทำให้เราทำได้ทุกๆสิ่งจริงๆ แม้สิ่งที่เราคิดว่ายากเกินจะทำได้นั้นก็ตาม (1พศด.28:20) อย่าลืม...เรากับพระเจ้าต้องเป็นหุ้นส่วนกัน พระเจ้าไม่เคยบังคับเราทำให้พระองค์ เพราะพระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจในการปกครองตนเองให้เรา เพื่อเราจะบังคับตนเองให้ทำทุกสิ่งถวายพระเจ้า (2ทธ.1:7) เช่น การบังคับตนเองให้คิดดี พูดดี และทำดี รวมถึงการให้อภัยคนที่ทำร้ายจิตใจของเรา ณ วันนี้ด้วย
เมื่อเราเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้าในทุกกรณี ในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกๆเรื่อง แล้วพระเยซูคริสต์จะทรงเรียกว่าเราพี่น้องชายหญิง และมารดา หรือเพื่อนร่วมงานของพระองค์
พระเจ้าอวยพรครับ
Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น